เธอลุกขึ้นเดินอย่างเซ็ง ๆ ไม่แปลกใจเลยสักนิด เมื่อเริ่มได้ยินเสียงคนคุยกันแว่ว ๆ มามันเหมือนเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เมื่อไฟดับ คนในบ้านจะเดินไปหน้าบ้าน เมียง ๆ มอง ๆ บ้านข้าง ๆ ดูว่าไฟดับด้วยไหม หรือบางทีถ้าอัธยาศัยที่ดีต่อกันก็ ชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระ จนกว่าไฟจะมา แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ สะสางงานที่คั่งค้าง ทั้งที่จริง ๆ แล้วบางบ้านก็ไม่ได้จำเป็นอะไรมากไปกว่าการใช้ไฟฟ้าในช่วงบ่ายสองโมง ที่แดดกำลังร้อนเปรี้ยง ๆ แบบนี้
เธอพักอยู่ทาวเฮ้าส์สองชั้น ในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ เพิ่งมาเช่าได้สองเดือน บริษัทฯ ส่งเธอมาทำงานเกี่ยวกับการวิจัยผลผลิตทางการเกษตรให้แก่บริษัท จึงออกค่าเช่าให้ ทีมของเธอมีสามคน เป็นหญิงสอง ชายหนึ่ง ตอนนี้สามคนนั้นออกนอกพื้นที่ เหลือเธอที่อยู่เคลียร์เอกสารอยู่ที่บ้านเช่า หรือจะเรียกว่าสำนักงานก็ไม่ผิด
เธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน หวังจะนั่งรับลมที่ระเบียง เก้าอี้หวายตัวโปรดยังคงอยู่ที่เดิม แถมยังมีหนังสือเล่มหนึ่งวางคว่ำหน้าไว้ที่โต๊ะเล็ก ๆ ข้างเก้าอี้หวายรูปทรงกลม เธอมักจะเรียกมันว่าเก้าอี้รังนก
เสียงผู้คนจากบ้านข้าง ๆ ที่ออกมาสนทนากัน ดังชัดขึ้น เมื่อเธอออกมาสู่ที่โล่งจับใจความได้ว่ากำลังถามไถ่กันให้เซ็งแซ่ มันเริ่มต้นจากคำว่าไฟดับเหมือนกันไหม..แล้วก็เรื่อยไป จนคร้านที่จะใส่ใจเรื่องราวเหล่านั้น
หญิงสาวเดินไปหยิบหนังสือเล่มที่เห็น ก่อนจะหย่อนตัวลงไปนอนเขลงอ่านหนังสือต่อจากหน้าที่คั่นไว้ เป็นนวนิยายของนักเขียนชื่อดัง อ่านไปได้สองหน้าก็วางมันลงที่เดิม เหม่อมองไปที่ท้องฟ้า สีฟ้าใส
อกหัก..ใช่เธอกำลังอยู่ในอาการนั้นแหละ พอหัวหน้าบอกว่าออกพื้นที่ จึงแล่นไปขออาสาเป็นคนแรก ตอนนี้แผลนั้นมันก็จางไปเยอะแล้ว เพราะเธอกับเขาจากกันด้วยดี จะว่าไปก็ผิดที่เธอมากกว่าที่ไม่แสดงท่าทีให้เขารู้ยกความเป็นเพื่อนมาอ้าง จนในที่สุด เขาก็ได้พบใครอีกคน ที่คิดว่าใช่ เขาจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้ และนรีก็ได้รับบัตรเชิญในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว เธอยิ้มขื่น ๆ กับท้องฟ้า ถอนหายใจ
ความรู้สึกของคนเรากับประสบการณ์ที่มันผ่านไปแล้ว มันคิดถึงแล้วใช่ว่าจะได้ความรู้สึกเดิมที่ไหนล่ะ ต่างเวลากัน คิดถึงเรื่องเดียวกัน บางทีจากหัวเราะขำ ๆ กลายเป็นร้องไห้ได้ง่าย ๆ เหมือนกันนะ เธอรู้จักคำว่า แฟน กันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
สายลมโชยเอื่อย ๆ ไฟฟ้ายังไม่มา เพราะเสียงคุยของคนข้างบ้านยังดัง สลับกับเสียงหัวเราะ ช่วงกลางวันอย่างนี้ไม่มีเสียงเด็ก คงเป็นเพราะเด็กในซอยนี้เป็นวัยศึกษากันหมด จึงไม่หนวกหูอะไรมากนัก
สมัยอนุบาล หรือปอหนึ่ง ไม่แน่ใจ เพื่อนมันเริ่มล้อว่าเราเป็นแฟนกับลูกชายเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยว อาจจะเป็นเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน และมักจะแบ่งปันกันเรื่องการบ้านเสมอ ๆ ติดอยู่กลุ่มเรียนเก่งก็อย่างนี้แหละ เธอติดอยู่ในกลุ่มเรียนเก่งของห้อง แต่ก็ไม่เคยสอบได้ที่หนึ่งสักหน
สมัยเด็ก.. นรียิ้มเป็นยิ้มที่สดใสขึ้นดวงตาหรุบลง และปิดตา ไม่เคยนอนคิดอะไรเล่น ๆ แบบนี้นานแล้ว สมัยเด็กเคยเล่นไล่กอดกันไม่รู้ว่าถ้าเป็นสมัยนี้คงได้พ่อ-แม่ ผู้ปกครองไม่รู้จะวิ่งโร่ไปแจ้งความไหม ถ้าเวลาลูกสาวมาฟ้องมา เด็กชายคนนั้นมาเล่นวิ่งไล่กอด อยู่กลางสนามโรงเรียน
ฤดูหนาว หนาวของจังหวัดเหนือสุดของประเทศไทย ก็ประมาณสิบกว่าองศา ครูมักจะพานักเรียนออกไปนั่งเรียนนอกห้อง เพื่อจะได้ผิงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าประมาณแปด-เก้าโมง
สมัยอนุบาล ห้องเรียนของเธอเจ๋งมาก ถ้าไม่ใช่เล้าไก่ ก็เล้าหมูดี ๆ นี่เอง ภาพที่ปรากฏในมโนนึกทำเอามุมปากเธอเปิดกว้างโดยไม่รู้ตัว อาคารชั้นเดียว ครึ่งปูนครึ่งไม้ไผ่ หลังคามุงจาก ลาดพื้นด้วยซีเมนต์ ที่เป็นเพียงปูนปนทรายปูทับด้วยเสื่อน้ำมัน เสาเป็นไม้ เหมือนนำต้นไม้เล็ก ๆ มาวางปักไว้ 6-10 ต้น ถ้าจำไม่ผิด ก่ออิฐบล็อกล้อมรอบทุกทาง เวลานักเรียนจะเข้า-จะออก ผู้ปกครองก็อุ้มหย่อนลงไปทางประตู หรือไม่ก็ไต่บันไดปูน ปีนข้ามอิฐบล็อกที่ว่า ตีล้อมรอบทุกด้านด้วยไม้ไผ่เป็นซี่ ระแนง มีประตูปิด-เปิด แบบว่าเหมือนขังอยู่ในเล้าไก่จริง ๆ นะ เรียกเล้าไก่แล้วให้ความรู้สึกดีกว่าเรียกเล้าหมู เพราะมันรู้สึกใกล้ ๆ เคียง ๆ ความจริงตอนนี้ รอยยิ้มแต้มมุมปากเป็นระยะ
ในห้องมีกระดานดำ นักเรียนนั่งเรียนกับพื้นที่ปูด้วยเสื่อน้ำมันนั่นแหละ ทั้งห้องมีโต๊ะอยู่สามตัว ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะครูอยู่หน้าห้อง อีกสองตัวตั้งชิดข้างฝาไว้วางหนังสือ พักเที่ยงเสร็จ ครูก็ให้นอน ใครที่พกขวดนมไปก็ให้กินนมก่อน หรือใครไม่มีก็นอนเขลง แยกเป็นสองแถว หันเอาศีรษะเข้าหากัน เว้นช่องว่างตรงกลางไว้สำหรับครูเดินตรวจแถวนักเรียนนอน เออ แฮะ.. เท่าที่จำได้เธอเคยมีขวดนมไปกินที่โรงเรียนกับเขาด้วย
เออ..แล้วนี่อากาศมันร้อนหรือเราเสียสติหรือเปล่านะ นรีถามตัวเอง ลืมตามองท้องฟ้าใส ๆ สีฟ้ามีปุยเมฆบางเบาล่องลอยอยู่ ไฟยังไม่มา แต่เสียงคุยก็ยังดังมาเรื่อย ๆ ช่างมัน ถ้าจะคิดถึงความรักเมื่อสิบ-ยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วเป็นบ้าก็ช่างมัน เธอถอนหายใจหลับตานอนต่อ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนนอนดึก พอได้นอนเล่นอย่างนี้ก็เลยง่วง ๆ เธอขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ นอนหลับตาไม่คิดถึงความหลังแล้วจะให้คิดอะไรล่ะ แฟนก็ไม่มีเหมือนคนอื่นเขานี่
แต่แทนที่ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพสดใสของวัยเด็ก กลับกลายเป็นภาพของเขาคนนั้น ชายหนุ่มที่เธอพบครั้งแรกในงานประจำปีของบริษัทฯ เขาเป็นเพื่อนของผู้จัดการแผนกบุคคล ที่ถูกเชิญมาร่วมงานด้วย
คิดถึงครั้งแรกที่สบตา แววตาของเขาไม่ได้แสดงอาการหื่นกระหาย หรือหยาบคาย หากแต่เป็นแววหวาน ระยิบระยับ เขาสารภาพตอนหลังว่าเธอเป็นรักแรกพบของเขา หลังจากที่มัวทำแต่งาน ต่อจากนั้นมาคุณสมเกียรติมักจะมาเป็นแขกประจำของบริษัทฯ ที่บางทีไม่เฉียดไปหาเพื่อนที่เป็นผู้จัดการแผนกบุคคลเลย
นรีเองก็มีใจชอบเขาตั้งแต่แรก แล้วคืนนั้นที่อพาร์ทเม้นท์ของเธอ ขณะที่มาส่งเธอกลับบ้านหลังจากไปดูหนังด้วยกันมา วันที่สิบสามกุมภาพันธ์ตอนเที่ยงคืน
นะครับ นรี.. นะ ชายหนุ่มร่างสูง สวมสูทสีน้ำเงินเข้มเต็มยศ เพราะเขามารับเธอหลังเลิกงานโดยไม่ได้แวะเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เขาดูดีจริง ๆ
............... เธอได้แต่ก้มหลบตา เขาเชยคางมนขึ้นมา สายตาคมปลาบของเขาบาดลึกไปถึงหัวใจ
นะครับ.. นะ เขาออดอ้อน เขาสูงกว่าและนรีก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาทั้งตัว ตอนที่เขาค่อย ๆ ก้มหน้าลงมา ริมฝีปากแตะกันเบา ๆ แล้วเขาก็ถอนออกไป รอฟังคำอนุญาตจากเธอ
แต่นรีไม่เคย....
เชื่อใจผมนะครับ แล้วเราจะแต่งงานกันทันทีเมื่อพร้อม เธอหลบตาซุกหน้ากับอกเขา
สมเกียรติเป็นคนอ่อนหวาน อบอุ่นที่สุด เท่าที่นรีเคยรู้จักมา เขามารับ-ส่งเธอจนถึงที่ทำงานเสมอนับตั้งแต่รู้จักกัน หากว่างก็จะไปช้อปปิ้งด้วยกันบ้าง ดูหนังบ้าง ถ้าหากจะมอบชีวิตให้ใครสักคนดูแล นรีหวังว่าเธอคงดูคนไม่ผิด แล้วคืนนั้นเธอกับเขาก็เป็นของกันและกันตลอดคืน .. นรีไม่เสียใจสักนิดเพราะด้วยความรักที่เธอมอบให้เขา
แต่ทำไมหนอ.. ความสุขถึงได้อยู่กับคนเราไม่นาน เริ่มมีข่าวซุบซิบในหน้าสังคมเรื่องลูกสาวนักการเมืองท่านหนึ่ง เพิ่งเรียนจบมาจากต่างประเทศและคบหาหนุ่มนักธุรกิจที่กำลังไฟแรง สมเกียรติ หัตถกรรม.
ทำไมหนอ.. ความรักถึงได้กลายเป็นแค่ความใคร่ ไร้เสน่หาและสิ่งผูกมัดอีกแล้ว เธอไม่ใช่สาวน้อยที่น่าสนใจสำหรับเขาอีกแล้ว เธอยังจำวันนั้นได้ดี สมเกียรติกับเธอมีนัดกันว่าคืนนี้เขาจะพาเธอไปดูหนัง หากทุ่มหนึ่งเขายังไม่มารับให้นรีไปรอที่คอนโดมิเนียมของเขาก่อน เขาจะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพาเธอไปดูหนังพร้อมกัน
นรีไขกุญแจลูกบิด จากกุญแจสำรองที่เขาเคยให้ไว้ ก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปช้า ๆ เสื้อผ้าของเขาตกเรี่ยราดไปตามรายทางจากห้องโถง จนถึงประตูห้องนอน แต่ประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท เสียงที่ดังแว่วมา เป็นเสียงของชาย-หญิงที่กำลังทำกิจกรรมร่วมกันบนเตียง ..
น้ำตาปริ่มดวงตาคู่สวย เธอสาวเท้าต่อไปประหนึ่งหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้เดิน
โอ..พระเจ้า เขา.. เขา.... ร่างเปลือยเปล่าของหญิงชายคู่หนึ่ง ที่ใช่เขาแน่แล้ว .. น้ำตากลบดวงตาจนพร่า นรีถอยหลังออกมาปาดน้ำตาทิ้ง แล้วออกวิ่งจากตรงจุดนั้นทันที
เสียงคนคุยกันเงียบไปแล้ว นรีตื่นจากภวังค์ ค่อย ๆ ขยับตัว หยีตารับแสงเจิดจ้าของแดดบ่าย กี่โมงแล้วก็ไม่รู้ คงจะสักสี่-ห้าโมงเย็นแล้วกระมัง เพราะไอแดดที่ได้รับตอนนี้ร้อนจัด เธอยกมือขึ้นลูบใบหน้า
ไม่แน่ใจว่าเมื่อกี้ตัวเองหลับฝันไปไหม .. ภาพมันชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ที่หางตาเปียกชื้นไปหมด นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้กับการนอนอยู่ตรงนี้ เธอใช้นิ้วไล้ไล่เช็ดหยาดน้ำที่ออกจาดวงตา
ลุกขึ้นมาเดินโผเผลงมาชั้นล่าง ไฟฟ้ามาแล้ว มิน่าล่ะเสียงผู้คนถึงได้เงียบไป ความที่ยังมึน ๆ ปวดศีรษะตุบ ๆ เหมือนคนเป็นไข้ นรีไปค้นในกระเป๋าสะพายของตัวเอง เพราะมักจะติดยาแก้ปวดไว้ในกระเป๋าเสมอ เผื่อออกพื้นที่ไปเจอคนป่วยบ้าง หรือเผื่อตัวเองเวลาปวดศีรษะบ้าง เธอค้นกระเป๋าถือของตัวเองหยิบซองสีขาว ๆ ที่มีตราร้านขายยา มีลายมือยุกยิกเขียนกำกับไว้ จึงหยิบออกมาสองเม็ดใส่อุ้งมือ เดินไปหยิบแก้วในห้องครัว กดน้ำตากระติกน้ำร้อนที่ถอดปลั๊กไปตั้งแต่เมื่อเช้า ส่งยาเข้าปาก ตามด้วยน้ำจนหมดแก้ว ล้างแก้วด้วยน้ำเปล่าตรงอ่างล้างจาน เอามาคว่ำไว้ที่เดิม
คร้านที่จะทำงานต่อเสียแล้ว จึงเดินกลับไปบนชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนแล้วปล่อยให้มันปิดเองอัตโนมัติ เปิดพัดลมเบา ๆ กดให้มันส่ายไปมา แล้วล้มตัวลงนอนต่อด้วยความง่วงงุน อย่างบอกไม่ถูก เพดานขาว ๆ เรียบ ๆ ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกมึน ๆ เบลอ ๆ ดีขึ้น นรีก็เลยปิดตา.. นอนรับลมจากพัดลม ปล่อยความคิดต่อไปโดยไม่คิดห้ามปราม
"นรี..นรี" แตงส่งเสียงเรียกแต่ไม่มีคำขานรับ ผลักประตูมุ้งลวดเข้าบ้าน ควานหา
สวิทซ์ไฟเจอ ในบ้านก็สว่างพรึ่บ
เธอกับเอเพิ่งกลับมาจากการไปสำรวจข้อมูลภาคสนาม แตงกวาดสายตาไปรอบ ๆ เห็นกระเป๋าถือของนรีวางอยู่บนโต๊ะทำงาน มีรอยถูกรื้อค้น มีซองยาจากร้านขายยาแห่งหนึ่งวางอยู่ เหลือยาอยู่ในนั้นสาม-สี่เม็ด เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปชั้นสอง พลางส่งเสียงเรียก
"นรี..นรี" ชายหนุ่มเดินไปยังตู้เย็นในห้องครัว หมายจะรินน้ำมาดื่มให้ชื่นใจ เอเพิ่งจะได้เปิดประตูตู้เย็นยังไม่ทันจะหยิบขวดน้ำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเพื่อนดังมาจากชั้นสองของบ้าน มือผลักประตูตู้เย็นไปข้างหน้าโดยอัตโนมัติ วิ่งขึ้นบันไดทีละสองขั้น ตรงไปยังต้นเสียงเห็นแตงกำลังเขย่าตัวเพื่อนสาว แล้วร้องไห้ เขาอึ้งทำอะไรไม่ถูก
"นรี .. ฮือ ๆ ..." เสียงของแตงคร่ำครวญ เรียกแต่ชื่อของเพื่อน แล้วก็เขย่าแต่ร่างอวบอิ่มนั้นไม่ไหวติง เอได้สติรีบวิ่งเข้าหาและช้อนตัวนรีขึ้นมาอุ้มลงบันได พลางสั่งให้แตงตามมา
เสียงโหวกเหวกทำให้เพื่อนบ้านออกมาชะแง้มองพอเห็นชายหนุ่มอุ้มร่างไร้สติของหญิงสาวก็หลายคนกรูกันเข้ามาช่วยเปิดประตูรถเก๋งคันที่จอดอยู่หน้าบ้าน เสร็จสรรพแล้วทุกคนก็ยืนมองรถเก๋งสีดำคันนั้นพุ่งออกจากหมู่บ้านไปอย่างรวดเร็ว
----
สมเกียรติ หัตถกรรม นักธุรกิจหนุ่ม รุ่นใหม่ ที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า เดินลงมาจากชั้นสองของตัวบ้าน และเลยไปยังห้องอาหารเข้าประจำหัวโต๊ะ สาวใช้นำกาแฟมาเสิร์ฟก่อนจะถอยออกไป เขาเลือกหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะหลายฉบับ โดยเลือกดูจากพาดหัวข่าว วันนี้หนังสือพิมพ์ หัวสีเขียวยักษ์ใหญ่ของประเทศพาดหัวข่าวหรา
"ดร.สาวสวย น้อยใจแฟนหนีไปแต่งงาน กินยาตายประชดรัก" เขารีบเปิดเข้าไปดูรายละเอียดหน้าใน
"นรี" ชายหนุ่มยอกแสยง เจ็บแปลบในอก
------
แตงกับเอนำยาที่เหลืออยู่ในซองไปให้หมอตรวจดู ทั้งการตรวจจากร่างกายของนรีและจากประวัติผู้ป่วยที่แจ้งไว้กับทางโรงพยาบาลที่เคยเข้ารับการรักษา นรีมีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุให้เธอช็อคหมดสติไปนาน เมื่อร่างกายขาดออกซิเจน หัวใจก็หยุดเต้น และเสียชีวิตเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รับประทานยาเข้าไป
ครอบครัวของนรีนับถือศาสนาคริสต์ จึงทำพิธีฝัง ศาสนพิธีได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ทุกคนทยอยกลับกัน เหลือก็แต่แตงกับเอ ที่ยังคงยืนสงบนิ่งอยู่หน้าหลุมฝังศพของเพื่อนสาว
"เอ..เราขออยู่กับนรีเพียงลำพังได้ไหม" แตงหันไปบอกเพื่อนร่วมงาน เขาพยักหน้าเดินออกจากบริเวณ
'นรี แตงขอโทษ แตงไม่น่าจะใส่เจ้ายาบ้า ๆ นั่นในกระเป๋าของนรี เธอร้องไห้คร่ำครวญ
นรีไม่โกรธแตงใช่ไหม เธอรำพึงกับเพื่อนร่วมงานในใจ
'นรี ไม่โกรธแตงใช่ไหม' สายลมพัดกรูมาวูบหนึ่ง น้ำตาไหลที่เหือดแห้งไปแล้ว พร่างพรูอาบเต็มสองแก้ม แตงสะอื้นฮัก ๆ
'แตงขอโทษนะนรี.. แตงไม่ได้ตั้งใจ'
'แตง ไม่ได้ตั้งใจ'
ห้องพักฟื้นเรื่องสั้น 2
พ่าย...แพ้ ของคุณสีน้ำฟ้า
เรื่องสั้นเรื่องนี้คุณสีน้ำฟ้า เดิมชื่อ ไม่โกรธใช่ไหม แต่ได้เปลี่ยนใหม่ให้มีความหนักแน่นขึ้น และตัดทอนในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องความรักความหลังครั้งเก่าของนรีออกไปบ้าง ซึ่งการตัดทอนนี้ช่วยทำให้เนื้อเรื่องมีความกระชับ และมุ่งตรงสู่ประเด็นขึ้น แต่ถ้าเพิ่มเติมอะไรอีกสักหน่อยเพื่อแสดงว่านรีไม่แคร์สมเกียรติแล้ว ก็จะทำให้มีความชัดเจนในประเด็นที่เธอถูกเข้าใจว่ากินยาตายเพราะอกหักขึ้นมาก
ข้อสำคัญอย่างหนึ่งในเรื่องสั้นหรือนิยาย ก็คือต้องคำนึงถึงความรับรู้ของตัวละคร กับความรับรู้ของผู้อ่าน เหตุการณ์บางเหตุการณ์หรือเรื่องบางเรื่อง ผู้เขียนได้บอกให้ผู้อ่านทราบ แต่ตัวละครไม่ทราบ ยกตัวอย่างที่เห็นกันบ่อย ๆ ก็คือตัวละครหญิงที่ปลอมเป็นชาย ซึ่งแน่นอนว่าตัวละครหลายตัว (โดยเฉพาะพระเอก) ย่อมไม่ทราบ แต่คนอ่านทราบ และสนุกกับการลุ้นระทึก ดังนั้นเวลาที่เขียนจะต้องคอยตรวจสอบด้วยว่า ตัวละครรู้เรื่องต่าง ๆ ที่คุณกำลังเขียนอยู่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นผู้เขียนก็อาจจะเกิดความสับสนเองได้
ในระหว่างการเริ่มเหตุการณ์ใหม่ นอกจากเว้นระยะแล้ว เพื่อความชัดเจน คุณก็อาจใส่จุดไข่ปลาคั่น และเริ่มตัวแรกหรือคำแรกของบันทัดใหม่ด้วยตัวโตหรือตัวหนา เช่น
ใช้ไฟฟ้าในช่วงบ่ายสองโมง ที่แดดกำลังร้อนเปรี้ยง ๆ แบบนี้
......................... (คั่นด้วยจุดไข่ปลา)
เธอพักอยู่ทาวเฮาส์สองชั้น ฯลฯ หรือ (ตัวโต)
เธอพักอยู่ทาวเฮาส์สองชั้น ฯลฯ หรือ (ตัวหนา)
เธอพักอยู่ทาวเฮาส์สองชั้น ฯลฯ (ตัวโตหนา)
ความจริงพ่าย... แพ้ อยู่ในขั้นที่ดีขึ้นมาก แต่ผมยังอยากให้คุณสีน้ำฟ้าหาโอกาสอ่านงานชิ้นนี้ของตัวเองอีกสักรอบ และลองขัดเกลาอย่างเบามือดูอีกสักเที่ยว.... ผมจะรออ่านนะครับ
ประภัสสร เสวิกุล
ซันติอาโก ชิลี 11 กุมภาพันธ์ 2550