รถกระบะสีขาวที่บรรทุกลังพลาสติกขนาดใหญ่สูงพ้นหลังคา เบาคันเร่ง เปิดไฟเลี้ยว แล้วเลี้ยวไปในซอยเล็กๆ เป็นถนนลูกรังสีแดงมีรอยรถคันที่วิ่งผ่านก่อนหน้าครูดไว้เป็นทาง เขาโขยกเขยกรถไปตามรอยและเลี้ยวเข้าไปจอดในที่จอดตามที่คนที่ยืนโบกรถอยู่ชี้ทางให้ พอเปิดประตูจะก้าวลงปรากฎว่าทางเป็นโคลนเละเทะไปหมด จึงปิดประตูขยับไปข้างหน้าอีกหน่อยพอพ้นทาง เขาลงจากรถกดล็อคจากกุญแจรีโมท เจ้าภาพงานศพรีบเดินมาถึงตัว ยกมือไหว้ทักทายกัน แล้วกึ่งจับกึ่งจูงให้เขาเข้าไปในเต้นท์ที่กางไว้ มีโต๊ะอาหารวางเรียงราย มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของเต้นท์ แต่ละโต๊ะกำลังนั่งรับประทานอาหาร แกล้มกับเสียงคุยสัพเพเหระ ดังปนเปกับเสียงเพลงบรรเลงจากเทปคลาสเซ็ท ที่ดังผ่านลำโพงตัวใหญ่
เขาถูกเชิญไปนั่งที่โต๊ะพับ แบบสำเร็จรูปของร้านที่รับจัดโต๊ะจีนตามต่างจังหวัด ที่มักทำจากขาแสตนเลส แล้วมีไม้กระดานแผ่นหนึ่งวางไว้ด้านบน เก้าอี้พลาสติกสีฟ้า พ่นตรายี่ห้อของร้านไว้หรา ที่ขอบพนักพิง เจ้าภาพเรียกหาอาหารมาเสริ์ฟ เพราะเขามาเพียงลำพัง เจ้าภาพจึงนั่งลงข้างๆ เพิ่งได้คุยกันถนัดถนี่ก็ตอนนี้เอง
"กินข้าวๆ " เจ้าภาพคนนี้เป็นเพื่อนเขย อายุมากกว่าเขาหลายปีไม่สนิทกันเท่าใดนัก ส่วนเพื่อนของเขาซึ่งเป็นลูกสาวของศพที่ตั้งอยู่ริมตัวบ้านรี่ออกมาจากเรือน คงจะมีใครสักคนไปตาม ใบหน้าอิดโรย กับร่างกายผ่ายผอมของเธอดิ่งมาหาเขา
"กินข้าวสินิคม" คำแรกที่ออกจากปากเพื่อนซึ่งเคยรักกันมาก สมัยเรียนมัธยมมาด้วยกัน
"เอาสิ เธอนั่นแหละ นั่งกินกับเรา คุณด้วยนะเทอด กินข้าวกินปลากันเสียบ้าง ทั้งคู่นั่นแหละ" รวิดาแทรกตัวลงนั่งข้างๆ สามี พยักหน้า ให้สามีเป็นตักข้าวจากแจก
"นานมากแล้วที่ไม่ได้พบกัน เธอไม่ได้มาที่นี่กี่ปีแล้ว" รวิดาถาม
"เกือบยี่สิบปี ก็ตั้งแต่ย้ายไป เราพบเธอในเมืองตลอดมา งานแต่งเธอเราก็ไม่ได้มา ขอโทษด้วยนะ"
"นึกยังไงถึงกลับบ้านล่ะคราวนี้"
"แม่อยากกลับมาอยู่ที่นี่ ให้เรามาหาซื้อที่ แล้วปลูกบ้าน เหตุผลของแม่เราปฏิเสธไม่ได้"
"เอาสิ.. เดี๋ยวเราจะดูๆ ให้ ว่าแต่......" รวิดาหันไปตามเสียงเรียก ข้าวยังไม่ทันจะเข้าปากด้วยซ้ำ
"ขอตัวเดี๋ยวนะ .. กินข้าวกับแฟนเราไปก่อน"
"เชิญครับๆ " คุณเทอดพยักเพยิด แต่เขาก็ยังไม่ทันจะได้ตักอาหารใส่จานด้วยซ้ำ กลุ่มชายใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีขาว4 คนก็เดินเข้ามาในบริเวณงาน ใกล้เข้ามาจึงเห็นว่าปักโลโก้เป็นชื่อบุคคลแล้วก็มีหมายเลขกำกับด้วย
"เดี๋ยวขอตัวสักครู่นะ.. " ทั้งโต๊ะจึงเหลือจานข้าวสามใบ กับชายหนุ่มนั่งตามลำพัง นิคมสังเกตเหตุการณ์รอบตัวท่าทางคุณเทอดพินอบพิเนาชายทั้งสี่ เชื้อเชิญให้ไปนั่งที่โซฟา ดูเหมือนจะเป็นที่นั่งที่หรูที่สุดในบริเวณงานศพนี่สามคนนั่งคุยกัน ส่วนคุณเทอดเดินคู่กับชายอีกคนไปทักทายผู้คนตามโต๊ะต่างๆ คนในโต๊ะต่างยกมือไหว้ผู้ที่เดินมาทักทายก่อนเสมอ มาถึงเขา
คุณนิคม นี่ท่าน สว. สองสมัยของจังหวัดเรา คุณเทอดผายมือแนะนำ
เพื่อนรวิดาครับท่าน ผู้น้อยควรให้ความเคารพผู้สูงวัย เขายกมือไหว้ชายคนนั้น เขารับไหว้แล้วเข้ามาลูบหลัง ลูบไหล่ จับมือบีบเบาๆ
"อย่าลืมเลือกเบอร์......นะ ฝากด้วยนะ"
ครับ? เขาเงยหน้า สบตาคนที่สูงวัยกว่า ดวงตาของเขาเปี่ยมแววเมตตา ดุจประหนึ่งเป็นกัลยาณมิตรกันมานาน
อย่าลืมเลือกเบอร์.....นะ ฝากด้วยๆ ไหล่เขาถูกตบเบาๆ ก่อนไออุ่นนั้นจะจางจากไป ท่านว่าที่ สว. สมัยที่สามเดินไปทักโต๊ะถัดไป เขามองตามยิ้มๆ ไม่ตอบรับหรือตอบปฏิเสธ 'แม่เอ๊ย..แม้แต่งานศพก็ไม่เว้น' เขาลงมือรับประทานอาหารให้จานให้หมด ถือว่าปลูกข้าวเองไม่เป็นไม่ควรจะกินทิ้งกินขว้าง ตามคำสอนของแม่
กินเสร็จก็ลุกขึ้นลำเลียงจานและอาหารไปคืนในครัว ซึ่งตั้งเป็นเต้นท์ถัดไปทางด้านขวามือ ทางเดินค่อนข้างเฉอะแฉะ หลังจากเสร็จงานเขาจึงกลับมานั่งที่เดิม มองไปรอบๆ ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาร่วมในงานมากขึ้น งานศพคนต่างจังหวัดก็แบบนี้ อุ่นหนาฝาคั่ง ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ และชาย-หญิงที่มีครอบครัวแล้วกับเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกหลาน
คนกลุ่มใหญ่เป็นชายสูงอายุเดินเข้ามาอีก ไม่มีใครจำเขาได้สักคน เพราะเขาไปจากที่นี่ตั้งแต่อายุแปดขวบ นี่ปาเข้าไปยี่สิบปีแล้ว ใครจะมาจำได้ ขนาดเขายังแค่รู้สึกคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นใครบ้าง ผู้ตายอายุ 79 ปีก็น่าจะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวๆ กันกับแม่ของเพื่อน
เขามองนาฬิกา สองทุ่มห้านาทีแล้วพระสงฆ์ยังไม่มา ชายกลุ่มที่เดินมา นั่งกันอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เขา สักพักมีเด็กชายวัยประมาณสิบขวบเอาซองมาให้ แล้วก็นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย คุณเทอดเดินเข้ามาหา ยกมือไหว้ทุกคนในโต๊ะ และยิ้มเลยมาถึงเขา สุรายี่ห้อดัง ราคาค่อนข้างสูงถูกยกมาตั้ง น้ำแข็ง โซดาพร้อม เด็กชายที่อยู่ในโต๊ะเป็นคนรินแจก ท่าทางชำนาญ สองสามคนเริ่มดึงบุหรี่มาจุดสูบ การสนทนาเริ่มขึ้น แต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์เพราะแต่ละโต๊ะ กิน คุย ดื่ม สูบบุหรี่ เออ..เมื่อไหร่จะมีกฏหมายห้ามดื่มกินให้งานศพออกมาบ้างวะ ลูกเล็ก เด็กแดง วิ่งเล่นกันให้คึกคัก
ว่าที่ท่าน สว. กลับมาทางเขาอีก คราวนี้ยิ้มให้แล้วเดินผ่านเลยไปยังโต๊ะชายสูงอายุ พร้อมกับลงทุนนั่ง หางตาเห็น ท่าน เริ่มกระดก คุยกันไป ก็ไม่พ้นเรื่องการเมือง หลายกรึ้บเข้าก็ได้ที่ เสียงเริ่มดังแข่งกับเสียงดนตรีบรรเลง ฮาเฮ
เขาถอนหายใจ กลิ่นบุหรี่ตลบอบอวน ขนาดว่านี่เป็นเต้นเปิด มีแต่หลังคากันฝนยังขนาดนี้ นี่ถ้าอยู่ในห้องหับมิดชิดบรรยากาศจะสักขนาดไหน
เสียงโฆษกเริ่มประกาศ ไม่กี่อึดใจพระสงฆ์ห้ารูปเดินเข้าย่องๆ กันเข้ามา ก็น่าเห็นใจพระ ถนนเป็นลูกรัง บริเวณงานก็เพิ่งกลบๆ ถมๆ กันมีทั้งดิน ทั้งทราย ปนๆ กันพอปรับพื้นที่ให้เรียบแล้วกางเต้นท์ได้ พระเดินไปนั่งประจำตำแหน่งที่เจ้าภาพจัดไว้ให้ ตรงหน้าหีบศพ ว่าที่ท่าน สว. สมัยหน้าเดินกลับไปนั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนที่มาด้วยกัน
เขายังไม่ได้เคารพศพเลยตั้งแต่มา ก็มาถึงก็ถูกเกณฑ์ให้มานั่งกินข้าว ยกถ้วย-ชามไปคืน แล้วก็เลยนั่งจ่อมสังเกตการณ์อยู่ตรงนี้โดยไม่ได้ลุกไปไหนอีก มองไปทางหีบศพ ซึ่งตั้งอยู่นอกตัวบ้าน แต่มีการต่อเติมตัวบ้านมีหลังคายื่นออกมา แล้วเอาเต้นท์กางทับไปอีกที คงจะกันฝนเพราะบังเอิญสองวันนี้ฝนตกหนัก ดินและถนนจึงยังฉ่ำแฉะอยู่อย่างนี้
เด็กสาวสองคนนั่งอยู่ด้านข้างหน้าหีบ มีกล่องตั้งอยู่ใบหนึ่งห่อด้วยกระดาษสีส้มแกมทองสะท้อนวิบวับ พระยังคงฉันท์น้ำปานะ เขาฉวยโอกาสลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าหลัง ดึงธนบัตรออกมาใบหนึ่ง เดินไปที่เด็กผมม้า เธอเงยหน้ามายิ้ม ยื่นซองให้เมื่อเห็นเขาถือเงินมา เขาใส่ซองคืนให้
ลงชื่อไหมคะ
ไม่ต้องล่ะ ขอบใจ เขายิ้มตอบ
ด้านหลังของเด็กสาวมีกระถางธูป มีธูปวางในพานพร้อมไฟแช็ค 4-5 อัน เขาหยิบธูปมาหนึ่งดอก หยิบไฟแช็คมาจุด ปัดให้ดับ วางไฟแช็คคืน กล่าวคำขออโหสิกรรมแก่มารดาของเพื่อนในใจ ปักธูปเสร็จ กำลังจะเดินกลับ เพื่อนสาวก็มากระซิบให้ไปนั่งหน้าพระ กลุ่มชาย 4 คนที่สวมแจ็คเก็ตขาวนั่งอยู่ที่โซฟา เขาจึงเลือกนั่งเก้าอี้ไม้ที่วางเรียงไว้ใกล้กันแทน เขาค้อมศีรษะให้
โฆษกประกาศอีกครั้ง ก่อนจะส่งไมโครโฟนให้ผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง กล่าวนำสวด เขาแทบไม่เชื่อหู เออ เกิดมาจนอายุยี่สิบแปดปี เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกที่คนกล่าวนำสวดจะเป็นหญิง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นที่แปลกใจของคนแถวนี้ ทุกคนว่าตาม ..
นโมตัสสะ ภวโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ .... พิธีการทางศาสนาดำเนินไปสักสิบนาที
ติ๊ดตะลิ้ดติ๊ดตี่.. ๆ ๆ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ หนึ่งในกลุ่มชายสวมแจ็คเก็ต คนที่ลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาคนเมื่อกี้นั่นเอง
ปาณาติปาตา เวรมณี....
อ้อ ครับๆ ตอนเย็นมีนัดเลี้ยงที่บ้านผมครับ ล้มหมูสอง วัวหนึ่งครับ
อทินฺนาทานา เวรมณี...
โอนแล้ว? อ้อ ได้รับแล้ว ครับ....ครับ
กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี..
เด็ก? ครับๆ ครับ..ๆ สวัสดีครับ เสียงคุยแข่งพระเงียบไป นิคมข่มสติ สายตากร้าวดิ่งลงพื้นตรงหน้า
มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปทังสมาทิยามิ
ติ๊ดตะลิ้ดติ๊ดตี่.. ๆ ๆ
เว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ..
เออ อยู่ในงานศพ
ฉิบหาย.. ลืม....เออ!! ไอ้สัตว์มึงก็จัดการไปเลยสิ ต้องรอให้กูสั่งอีกเหรอ ห่างกันเพียงคืบต่อให้กดเสียงต่ำอย่างไรก็ได้ยินครับท่าน..
สุราเมรยมัชชปมาทฏัฐานา เวรมณี สิกขาปทังสมาทิยามิ ...
ใจมันเดือดเสียแล้ว นิคมผงกศีรษะจรดนิ้วไปที่หว่างคิ้ว หันกลับมาไหว้ที่ไปโลงศพ ค่อยๆ ค้อมตัวถอยห่างออกมา เขาเดินกลับมาทาง โต๊ะผู้สูงวัยยังยกขึ้นกรึ้บยังอยู่ เด็กชายวัยสิบขวบที่เขาเห็นตอนแรก นั่งหันหลังให้พระสงฆ์ก้มหน้าเขียนอะไรยุกยิกๆ เขาก้มหน้ามองทางเท้า สาวเท้าเดินห่างออกมาเรื่อยๆ
โอ...นี่เขาอ่อนไหวเกินเหตุไปหรือเปล่า ????
-------------
เขานั่งนิ่งอยู่ในรถยนต์ส่วนตัว คันที่จอดอยู่ข้างเป็นกระบะสองตอน ติดสติ๊กเกอร์หาเสียงรอบคัน ใจเขายังไม่สงบ.. นิคมนั่งหลับตาพิงพนักนิ่งๆ
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาโพลง !!!
-------------
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง แต่งกายสุภาพเดินออกจากโรงแรม เขากระตุกยิ้มมุมปากให้สาวๆ หน้าเค้าน์เตอร์อย่างคุ้นเคย ขวามือของเขาเป็นล็อบบี้ ใครคนหนึ่งนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่าน หัวข่าวเด่นหรา
ว่าที่ สว. ซิ่งชนเสาไฟข้างทางดับอนาถ