

วันก่อนผมได้ชมภาพยนตร์สารคดีทางโทรทัศน์เกี่ยวกับการตามหาเด็กที่เชื่อกันว่าเป็นลามะองค์หนึ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ อันที่จริงเรื่องเช่นนี้ผมเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วและก็เคยอ่านหนังสือที่มีผู้เขียนถึงเด็กชาวอิตาลีที่เชื่อกันว่าเมื่อชาติก่อนเป็นลามะองค์หนึ่ง แค่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตั้งแต่ลามะองค์นั้นเสียชีวิต พิธีเผาศพแบบทิเบต และการติดตามหาตัวเด็กที่เชื่อว่าเป็นร่างใหม่ของลามะที่ตาย การพิสูจน์ที่น่าอัศจรรย์ จนถึงการเข้าเฝ้าดาไลลามะ และได้รับการประกาศยืนยันว่าเป็นริมโปเช คือเป็นลามะที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริง
แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงได้และอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แต่คนทั่วไปก็มีความกังวลและความกลัวในเรื่องความตาย แต่สำหรับลามะทิเบตนั้น กลับเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา และลามะบางรูปก็มีการฝีกซ้อมการตายไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาตายจะได้ไปอย่างมีสติ และอาจจะถึงขั้นกำหนดที่ที่จะไปจุติใหม่ได้เลยทีเดียว
วันต่อมาผมได้ชมสารคดีอีกเรื่องเกี่ยวกับการปฏิสนธิและการเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์มารดา ได้เห็นพัฒนาการของชีวิตน้อย ๆ และได้ทราบถึงเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้ทารกแต่ละคนมีความผิดแผกแตกต่างกัน ทั้งทางสรีระ จิตใจ อารมณ์ และความรู้สึก ซึ่งส่งผลโดยตรงตั้งแต่ตอนที่คลอดไปจนถึงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และก่อนหน้านั้น ก็มีลูกศิษย์ฟอร์เวิร์ดเมล์เทศนาธรรมของพระอาจารย์ท่านหนึ่งมาให้ ซึ่งพระอาจารย์ท่านนั้นได้กล่าวถึงมนุษย์เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว จิตก็จะไปตามแรงบุญแรงกรรมที่ทำไว้ แต่ที่แปลกไปกว่าที่เคยได้ยินมาก็คือ เป็นการไปเกิดใหม่หรือไปสู่ภพภูมิในทันทีทันใด เช่นเคยฆ่าไก่ก็จะปุ๊บปั๊บไปเกิดเป็นไก่ บางคนที่บาปกับบุญก้ำกึ่งกันก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย แต่เมื่อได้รับอานิสงค์ของบุญกุศลที่มีผู้ทำบุญส่งไปให้ ก็สิ้นจากความเป็นอสุรกายไปจุติเป็นเทวดาหรือนางฟ้าได้ในฉับพลันเหมือนกัน ซึ่งต่างไปจากที่เชื่อกันมาว่า คนที่ทำบาปทำกรรม เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องไปรับกรรมหรือทนทุกข์เวทนาในนรกภูมิเป็นเวลานานกว่าจะไปเกิดใหม่ได้ ทำให้เกิดสงสัยขึ้นในใจว่า สมัยนี้กรรมมันติดจรวดอย่างที่พูดกันหรือไร หรือว่าเวลานี้วิญญาณของคนที่ทำชั่วล้นนรก จนยมบาลต้องนิรโทษกรรมปล่อยให้ไปผุดไปเกิดได้เร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำเรื่องทั้งสามมารวมกันแล้ว ผมก็เกิดความสับสนในเรื่องของวิทยาศาสตร์ พุทธศาสตร์ และปรจิตวิทยา และสงสัยว่าทั้งสามศาสตร์นี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ คือเมื่อคิดทางวิทยาศาสตร์ การกำเนิดของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตก็คือกระบวนการทางธรรมชาติ ในขณะที่เทศนาธรรมของพระอาจารย์ท่านนั้นกล่าวถึงการที่จิตไปจุติในร่างใหม่เมื่อร่างเดิมสิ้นสภาพ และสารคดีเรื่องลามะทิเบตก็ยืนยันตรงกันกับคำเทศนาในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด หากแต่ต่างกันในเรื่องระยะเวลาของการจุติ เมื่อเป็นเช่นนี้จะหมายความได้หรือไม่ว่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้เมื่อปฏิสนธินั้น มีแต่เพียงร่างแต่ไม่มีจิต เพราะจะต้องรอจิตจากมนุษย์หรือสัตว์ที่ตายไปอาศัยร่างเหมือนกับปูเสฉวน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นการกำเนิดของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความเป็นวิทยาศาสตร์ กลายเป็นเรื่องของบุญกรรมโดยตรง และมีโอกาสหรือไม่ที่ร่างบางร่างอาจจะเป็นเหมือนเปลือกหอยเปล่า ๆ ที่ไม่มีปูเสฉวนเข้าไปอยู่ และหากเป็นเช่นนี้ ในอนาคตเมื่อนักวิทยาศาสตร์หันมาทำการศึกษาเรื่องจิตหลังการตายอย่างจริงจัง บางทีพวกเขาจะสามารถถ่ายจิตจากร่างเดิมไปสู่ร่างใหม่ เหมือนการถ่ายน้ำจากขวดใบหนึ่งไปใส่ขวดอีกใบหนึ่งก็ได้?
จากเรื่องทั้งสามข้างต้น ทำให้ผมอดที่จะนำมาเชื่อมโยงกับสภาพการณ์ทางการเมืองของไทยเราเวลานี้ไม่ได้ว่า นอกจากกายคือพรรค กับจิตคืออุดดมการณ์ทางการเมือง จะไม่ได้มาด้วยกันแล้ว บางพรรคก็อาจจะมีแต่กายแต่ไม่มีจิต หรือที่หนักไปกว่านั้น ก็คือบางพรรคมีกายเป็นมนุษย์แต่จิตอาจจะมาจากอสุรกายหรือสิงสาราสัตว์ก็เป็นได้
ครับ นั่นก็เป็นการคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ตามประสาคนยุคปัจจุบัน ที่ห่างวัด อ่อนวิทยาศาสตร์ และลุ้น ๆ ล้า ๆ กับการเมืองแบบไทย ๆ
....................
สำหรับท้ายคอลัมน์วันนี้ ขอแนะนำหนังสือดี เรื่องเล่าจากร่างกาย ของ คุณหมอชัชพล เกียรติขจรธาดา และ แว่วเสียงรายา เรื่องสั้นขนาดยาวเล่มแรกของ พนมเทียน ที่แฟน ๆ ของศิลปินแห่งชาติท่านนี้ ไม่ควรพลาดเป็นอันขาด
.....................................