การที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นอกจากจะทำให้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกแล้ว ก็ยังส่งผลให้เรามีนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน และรัฐบาล 2 คณะ ในเวลาเดียวกัน - นายกรัฐมนตรีคนที่สองก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลาย ๆ คนในรัฐบาลปัจจุบันและในพรรคเพื่อไทยคิดว่าเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริง แต่อาจเป็นนายกฯ แบบนินจาที่ ประเดี๋ยวโผล่ ประเดี๋ยวผลุบ อย่างในเพลงของคริสติน่า อากีล่าร์ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนที่สามจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เจ้าของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเงา และหัวหน้าคณะรัฐบาลเงา ซึ่งมีเสียงกระแนะกระแหนว่าเป็นรัฐบาลเงาที่ต้องอยู่ในเงาที่มืดสนิทเช่นเดียวกับแวมไพร์ แต่จะเป็นแวมไพร์รูปหล่อแบบใน ทไวไลท์ หรือแวมไพร์น่ากลัวอย่างแดร๊กคูล่า ก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยดูกันต่อไป
รัฐบาลเงาหรือคณะรัฐมนตรีเงานั้น เป็นจารีตปฏิบัติในทางการเมืองของอังกฤษและประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภา โดยพรรคฝ่ายค้านที่มีที่นั่งในสภามากที่สุดจะเป็นผู้นำในการตั้งคนของตนซึ่งจะเป็นสมาชิกสภาหรือไม่ก็ได้ขึ้นมาประกบรัฐมนตรีตัวจริง เพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ทัดทานการที่รัฐบาลจะออกกฎหมายบางเรื่อง รวมทั้งให้คำแนะนำต่าง ๆ ในทางสร้างสรรค์ ซึ่งวัตถุประสงค์สำคัญในการมีรัฐบาลเงาก็เพื่อเป็นการทำงานร่วมกันของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยเฉพาะการแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมืองหรือสถานการณ์ที่เป็นภัยคุกคามบ้านเมือง และลดอคติหรือความรู้สึกไม่ดีที่พรรคการเมืองสองฝ่ายมีต่อกัน
ประเทศไทยแต่เดิมไม่เคยมีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องรัฐบาลเงา เพิ่งจะปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2551โดยคุณอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในเวลานั้น และศึกษาเล่าเรียนมาจากอังกฤษ ได้นำแนวคิดเรื่องนี้มาใช้ ต่อมาในปีนี้ เมื่อพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง ก็ได้ตั้งรัฐบาลเงาชุดที่สองขึ้น โดยปกติรัฐบาลเงาในต่างประเทศนั้น จะมีคณะรัฐมนตรีเงาจำนวนไม่มาก และมีเฉพาะกระทรวงที่มีความสำคัญ แต่การตั้งรัฐบาลเงาของไทยนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับการตั้งรัฐบาลจริง คือมีจำนวนใกล้เคียงกับคณะรัฐมนตรีทีเดียว และแทนที่จะทำตัวเป็นเงา บางครั้งรัฐมนตรีเงาก็เผลอคิดว่าตนเองเป็นรัฐมนตรีตัวจริง
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีเงาของคุณอภิสิทธิ์นั้น นับว่าประทับใจจ๊อดกว่าตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนซึ่งประสบภัยน้ำท่วม ที่จะเห็นภาพและข่าวคุณอภิสิทธิ์ไปถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว หรือไล่เลี่ยกับคุณยิ่งลักษณ์ ต่างจากสมัยก่อนที่ต้องรอรายงานจากพื้นที่ และประชุมร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องก่อน ซึ่งหากคุณอภิสิทธิ์มีวิธีการทำงานเช่นนี้ตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาจจะไม่ต้องมีสภาพเพียงเงาเช่นเวลานี้
สำหรับ นายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง คือ พ.ต.ท. ทักษิณ นั้น ก็ดูจะมีความขยันในการคิดและการทำเรื่องต่าง ๆ ชนิดที่แทบจะไม่มีเวลาอยู่นิ่ง และทุกเรื่องที่คิดหรือทำนั้นก็ส่งผลกระทบมาถึงรัฐบาลและคุณยิ่งลักษณ์อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไปญี่ปุ่น บรูไน หรือกัมพูชา และเมกะโปรเจ็คต่าง ๆ
ลองมาคิดกันเล่น ๆ ว่า ถ้าหากนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน สามารถแบ่งสรรหน้าที่กันได้ลงตัว ให้คุณยิ่งลักษณ์ทำในด้านพิธีการ ให้คุณอภิสิทธิ์ดูแลงานการเมือง และให้คุณทักษิณทำกิจกรรมนอกหลักสูตร ประเทศไทยก็อาจจะไปได้ฉิวทีเดียว แต่ก็
อย่างว่าแหละครับ ที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีวันจะเป็นจริงได้ในชาตินี้หรือชาติไหน ๆ
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีหญิงของเราจึงต้องอยู่ท่ามกลางนายกรัฐมนตรีนินจา และนายกรัฐมนตรีเงาดำ ๆ แบบนี้ บรื๊อ แค่คิดก็ขนลุกแทนแล้วล่ะครับ